“กระบี่เนอสเซอรี่ไบลิงกัว” โรงเรียนแห่ง “ศตวรรษที่21”
“กระบี่เนอสเซอรี่ไบลิงกัว” โรงเรียนขนาดเล็กในตัวเมืองกระบี่ที่ดูจากภายนอกไม่สะดุดตาผู้ที่ผ่านไปผ่านมาสักเท่าไหร่ เนื่องด้วยสถานที่ที่มีขนาดเล็ก แต่เป็นโรงเรียนเดียวในจังหวัดกระบี่ที่ได้ทลายกำแพงการศึกษารูปแบบเดิมลง สำหรับ “โรงเรียนทางเลือกใหม่” อย่างกระบี่เนอสเซอรี่ไบลิงกัว ต้นแบบของการเรียนรู้อย่างเป็นองค์รวม (Holistic Education) ที่ประกอบด้วย Head-Hand-Heart ที่ไม่ยึดโยงอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม แต่เลือกอยู่เหนือกรอบบนความเข้าใจ ด้วยสไตล์การสอนแตกต่างกับโรงเรียนทั่วไปที่ไม่เน้นเพียงการท่องจำความรู้ แต่เปิดโอกาสให้เด็กทุกคนใช้ความรู้ทันที คือกล้าแสดงพลังความคิดสู่สาธารณะอย่างมั่นใจ จึงไม่แปลกที่ผู้ปกครองที่เข้าใจแก่นการศึกษาอย่างแท้จริงต่างวางใจส่งลูกหลานเข้าสู่โรงเรียนแห่งนี้ บนความเชื่อว่าโรงเรียนจะช่วยบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์วัยเยาว์เหล่านี้ให้เติบโตอย่างมีคุณภาพและติดปีกทักษะศตวรรษที่ 21 แก่นักเรียนทุกคน
ผ.อ.สมบูรณ์ แต่งเกลี้ยง ผู้ก่อตั้งและพัฒนาโรงเรียนที่เหมือนบ้านหลังที่สองของเด็กๆ คอยส่องแสงนำชีวิตเด็กนักเรียนสู่การเรียนแห่งปัญญา ยึดพื้นฐานการเข้าถึงคุณค่าและความสุขในตัวตนที่แท้จริงของนักเรียนทุกคน ผลสัมฤทธิ์ที่เด่นชัดของกระบี่เนอสเซอรี่ไบลิงกัว คือการที่นักเรียนเห็นคุณค่าในตัวตนของตนเองว่าเขาทำได้ เด็กนักเรียนทุกคนมีความสามารถในการจัดการ เด็กทำเองหมด เพราะโรงเรียนเปิดโอกาสให้เด็กเหล่านี้ได้ลงมือทำ ศักยภาพในตัวเด็กจึง “เบิกบานเติบโตตามวัยเด็ก” เด็กเพียงระดับปฐมวัยแต่ยังสามารถจัดกระบวนการขั้นตอนต่างๆได้ ที่สำคัญเด็กทุกคนอยู่กับความจริงตรงหน้า เด็กไม่ได้ถูกล็อกให้นั่งฟังสิ่งที่ไม่มีความหมายต่อเขา และยังไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร แต่ว่าเด็กอยู่กับความจริงตรงหน้า เด็กต้องใช้ความรู้ ต้องลงมือทำ ตรงนี้เห็นชัดเจนว่าทุกคนพัฒนาไปตามวัยและศักยภาพของตนเองได้
ผ.อ.สมบูรณ์ กล่าวว่า อุปนิสัยนักเรียนกระบี่เนอสเซอรี่ไบลิงกัวถูกฝึกให้เป็นคนมี “ใจใหญ่” คือรู้ว่าตัวเองมีคุณค่า มีความสามารถ จึงรับรู้ว่าเขาสามารถช่วยเหลือสังคมอย่างไร เราจึงเห็นภาพเพื่อนช่วยสอนหรือแนะนำในสิ่งที่เพื่อนยังไม่เข้าใจ ยังทำไม่ได้ ยังต้องการความช่วยเหลือ เห็นภาพพี่ชั้นอนุบาล 3 ลงช่วยน้องวัย 2-3 ขวบในการเก็บของ การทำงาน เห็นภาพนักเรียนจิตอาสาที่ช่วยคุณครูขนโต๊ะยกเก้าอี้ เป็นต้น ผู้ปกครองกระบี่เนอสเซอรี่ไบลิงกัวรู้ดีว่าเด็กของเราเดินตลอดเวลาที่อยู่โรงเรียน ตั้งแต่เช้ายันเย็นเขาจะหยิบงานมาทำเพื่อเรียนรู้ เมื่อคุณครูเรียกทำกิจกรรมเขาเพียงแค่วางงานตรงหน้าเพื่อไปเรียนรู้กับคุณครูแบบรายบุคคล แล้วกลับมาทำงานตรงหน้าให้เสร็จ นักเรียนเราเรียนแบบนี้ เด็กมีสิทธิ์เลือกสิ่งที่เขาชอบทำ เด็กมีสิทธิ์ทำด้วยกัน เด็กจะบอกคุณครูในสิ่งที่เขาอยากเรียนรู้เพิ่มเติม สิ่งที่เขาสงสัย และของานคุณครูทำเพิ่มเติม เพราะโรงเรียนเชื่อว่า “การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อชีวิตของผู้เรียน ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าภาพโรงเรียน ต้องเป็นตัวของตัวเอง เป็นผู้จัดการศึกษาของตัวเอง” มันจึงมีข้อแตกต่างกับการเรียนการสอนในโรงเรียนทั่วไป
ผู้ปกครองบางท่านสงสัยว่าเด็กที่เรียนรู้แบบนี้จะสามารถสอบเข้าเรียนต่อในโรงเรียนชื่อดังได้หรือไม่ ผลสัมฤทธิ์ที่ผ่านมาคือผลงานชิ้นโบว์แดงของโรงเรียนที่เห็นเป็นประจักษ์ว่านักเรียนสามารถเข้าเรียนต่อในโรงเรียนที่นักเรียนและผู้ปกครองมุ่งหวังได้ 100% อย่างมีความสุขและไม่เคยลดคุณค่าในตัวตนของเขาเลย
ที่มา: EDUพีอาร์นิวส์