ผู้เชี่ยวชาญชี้สารอาหาร การปรับสมดุลจุลินทรีย์ ช่วยต้านความเครียด
ปัจจุบันเรื่องของการแพทย์แบบผสมผสาน (Complementary Medicines) โดยเฉพาะสารอาหารต่าง ๆ ได้รับความสนใจมากขึ้น และการรักษาโรคไม่ได้จำกัดแค่การใช้ยาเท่านั้น สามารถใช้การแพทย์แบบผสมผสานในเชิงป้องกัน หรือเสริมการรักษาจะช่วยลดผลข้างเคียงและเพิ่มประสิทธิภาพของยาได้อีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งเภสัชกรเปรียบเสมือนด่านหน้าที่ผู้บริโภคจะมาปรึกษา ทั้งเรื่องของโรค ยา อาการเจ็บป่วย ดังนั้น ความรู้เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวจึงเป็นสิ่งจำเป็น
สถาบันแบลคมอร์ส ร่วมกับ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชมรมเภสัชกรเชียงใหม่ และเครือข่าย 5 สถาบัน จัดการประชุมวิชาการ “การศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์สำหรับเภสัชกร”(Complementary Medicines Research Update and Application) เพื่อให้เภสัชกรมีความรู้เกี่ยวกับโภชนาการ และการแพทย์แบบผสมผสาน ที่สามารถนำความรู้ใปใช้ในการให้คำปรึกษาแก่ประชาชนในด้านสุขภาพ การใช้ยา รวมถึงการใช้โภชนเภสัชภัณฑ์ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
ดร.ภญ.อโนมา เจริญทรัพย์ ผู้จัดการด้านการศึกษา สถาบันแบลคมอร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า สุขภาวะทางจิต (Mental Wellbeing) เป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากสุขภาวะทางจิตไม่ดี ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากภาวะความเครียดเรื้อรัง จะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตและส่งผลเสียต่อร่างกาย อาจก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา เช่น ความดันโลหิตเพิ่มขี้น ความไม่สมดุลของฮอร์โมนจำนวนมาก ผลกระทบต่อการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล การสร้างกระดูกลดลง เป็นต้น การตอบสนองต่อความเครียด แบ่งออกเป็น 3 ระยะโดยสองระยะแรกจะเกิดขึ้นระหว่างที่เผชิญกับความเครียดแบบเฉียบพลันและความเครียดในชีวิตประจำวัน และระยะที่ 3 นำไปสู่ความเครียดเรื้อรัง หรือเรียกว่าภาวะต่อมหมวกไตล้า ซึ่งส่งผลให้สภาพจิตใจย่ำแย่ และเกิดปัญหาต่อสุขภาพในระยะยาว
วิธีการจัดการกับความเครียดที่ทุกคนสามารถทำเองได้ มีหลายวิธี เช่น การออกกำลังกาย การทำสมาธิ การใช้ดนตรีบำบัด เป็นต้น ยังพบว่าสารอาหารเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากร่างกายได้รับสารอาหารที่เหมาะสม จะไปช่วยกระตุ้นการปรับสมดุลสุขภาวะจิต อย่างไรก็ตาม ความต้องการสารอาหารแต่ละคนไม่เท่ากัน คนที่มีความเครียดสูงร่างกายต้องการในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อการฟื้นฟูสุขภาวะจิตให้กลับมาสมดุลและรับมือกับความเครียดได้ ร่างกายจึงควรได้รับสารอาหารที่จำเป็น เช่น วิตามินบีหลากหลายชนิด ในปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละช่วงสถานการณ์ ซึ่งจะช่วยบำบัดและจัดการกับสภาวะความเครียดต่างๆ ได้ นอกจากนี้ สารอาหารจำพวกแมกนีเซียม เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นช่วยในการทำงานของเอนไซม์ในร่างกายมากกว่า 300 ชนิด ช่วยจัดการความเครียด การทำงานของกล้ามเนื้อ ระบบประสาท ควบคุมความดันโลหิต โพรไบโอติกส์ ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในร่างกาย และยังช่วยในการจัดการความเครียด รวมทั้งโคเอนไซม์คิวเทน ยังช่วยเสริมการทำงานของร่างกายโดยเฉพาะช่วงที่มีอาการเหนื่อยล้า
ด้านรศ.ดร.ภก.ไชยวัฒน์ ไชยสุต คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงโพรไบโอติกส์ กับสุขภาพทางกายและจิตใจว่า ระบบทางเดินอาหารมีจุลินทรีย์จำนวนมากกว่าแสนล้านเซลล์ มีทั้งเชื้อที่ดี ให้ประโยชน์แก่ร่างกาย และเชื้อไม่ดีซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกาย และก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาได้ ดังนั้น การรักษาสมดุลระหว่างจุลินทรีย์ที่ดีและไม่ดีจึงมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก โดยพบว่าชนิดและจำนวนของจุลินทรีย์ในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาขึ้นกับปัจจัยต่างๆ ได้แก่ การรับประทานอาหารบางชนิด เช่น เนื้อแดง น้ำตาลสูง ไขมันสูง แอลกอฮอล์ การได้รับยาปฏิชีวนะ การไม่ออกกำลังกาย หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวหลายอย่าง ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลทำลายจุลินทรีย์ที่ดีในร่างกาย ทำให้เกิดภาวะการเสียสมดุลของจุลินทรีย์ หรือเรียกว่า Gut dysbiosis และอาจส่งผลทำให้เกิดความผิดปกติต่อระบบทางเดินอาหาร และโรคทางเมตาบอลิกอื่นๆ รวมถึงการทำงานของสมอง จากงานวิจัยพบว่าการใช้โพรไบโอติกส์ มีส่วนช่วยในกระบวนการเผาผลาญ ลดระดับสารบ่งชี้การอักเสบ ควบคุมการหลั่งของสารสื่อประสาทบางชนิดผ่านกระบวนการ Gut-Brain axis ปัจจุบันการแพทย์แบบผสมผสานจึงมีการใช้โพรไบโอติกส์ เพื่อเสริมกับการรักษาแบบการแพทย์แผนปัจจุบัน หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และปรับสมดุลจุลินทรีย์ เพื่อส่งเสริมสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจในระยะยาว
ที่มา: PR STORY