ม.มหิดลต่อยอดสร้างยาแอนติบอดีรักษาโรคไข้เลือดออก ลดไข้ – อาการรุนแรง
แต่ละปี ประชากรครึ่งโลกเสี่ยงต่อไวรัสไข้เลือดออกที่แพร่โดยจากยุงลาย มีผู้ป่วยถึง 100 ล้านคนที่ต้องเข้าพักฟื้นในโรงพยาบาล แต่จนถึงปัจจุบัน ยังคงไม่มียาเฉพาะในการรักษาโรคนี้
นับเป็นเวลากว่าทศวรรษที่ มหาวิทยาลัยมหิดล โดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยแอนติบอดี คณะเวชศาสตร์เขตร้อนได้ทุ่มเททำวิจัยคิดค้นยาแอนติบอดียับยั้งไวรัสไข้เลือดออก ซึ่งผ่านการทดสอบในหนูและลิง โดยแอนติบอดีรุ่นแรกนี้มีบริษัทยาต่างประเทศมาเซ็นสัญญาลงทุนพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์แล้ว
ขณะนี้บริษัทได้ขนาดของยาที่จะนำไปใช้ทดสอบในอาสาสมัครในปีหน้า (พ.ศ. 2567) แล้ว เป็นแอนติบอดีที่จับโปรตีนผิวไวรัส ทำให้ไวรัสเข้าเซลล์มนุษย์ไม่ได้ โดยมีเป้าหมายใช้รักษาในช่วงที่ผู้ป่วยมีอาการไข้สูง ในช่วง 7 วันแรกของการติดเชื้อ
แต่ปัญหา คือ อาการความรุนแรงของโรคเช่น เกล็ดเลือดต่ำ การรั่วของเส้นเลือดและการเพิ่มของไวรัส จะเกิดในช่วง 7 วันหลังที่ยารุ่นแรกไม่สามารถจัดการได้ปัจจุบันได้ต่อยอดพัฒนาแอนติบอดีตัวใหม่ในการลดความรุนแรงของโรคในช่วง 7 วันหลัง
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. นายสัตวแพทย์พงศ์ราม รามสูต หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยแอนติบอดี ภาควิชาเวชศาสตร์สังคมและสิ่งแวดล้อม คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดลเปิดเผยถึงความสำเร็จล่าสุดที่ รองศาสตราจารย์ ดร.ปานน้ำทิพย์ รามสูตนักศึกษาปริญญาเอก นางสาวรจนวรรณสุทธิโชติ และทีมวิจัย สามารถพัฒนายาแอนติบอดีชนิดใหม่ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นในการลดความรุนแรงของโรคไข้เลือดออก โดยได้รับการจดสิทธิบัตร และได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับโลก”Biomedicines 2023, 11(1), 227″ ในปีนี้
โดยแอนติบอดีรุ่นใหม่นี้ สามารถยับยั้งไวรัสในช่วง 7 วันแรก และยังสามารถลดอาการความรุนแรงของโรค ที่จะเกิดใน 7 วันหลังของการติดเชื้อได้ด้วย ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่มียารักษาไข้เลือดออกที่รักษาอาการป่วยของโรคได้ทั้ง 2 ช่วง
นอกจากนี้ นวัตกรรมแอนติบอดีรุ่นใหม่นี้ได้รับการคัดเลือกให้เข้าโครงการพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์ “Lab to Market” จาก “ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี” (Yothee Medical Innovation District – YMID) ซึ่งอยู่ภายใต้ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(องค์การมหาชน) โดยขณะนี้มีการจัดตั้งบริษัท Spin off เพื่อพัฒนานวัตกรรมนี้สู่เชิงพาณิชย์
ผลงานวิจัยดังกล่าวอยู่ระหว่างการทดลองในห้องปฏิบัติการ มีกำหนดทดสอบจริงในอาสาสมัครในปี พ.ศ. 2567 โดยจะเป็นการลงทุนทางสุขภาพของประเทศที่คุ้มค่า ด้วยศักยภาพของการเป็นยาแอนติบอดีที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งจะสามารถใช้รักษาโรคไข้เลือดออกได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต
.
ที่มา: มหาวิทยาลัยมหิดล