ทิศทางการศึกษาที่เปลี่ยนไป ในยุค Post Pandemic ในมุมมองของ ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์
ทิศทางการศึกษาที่เปลี่ยนไป ในยุค Post Pandemic ในมุมมองของ ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด-19 ที่ยืดเยื้อกินเวลามาร่วม 2 ปี ส่งผลกระทบกับสังคม เศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของคนทั่วโลก รวมถึงผลกระทบด้านการศึกษาในวงกว้างตั้งแต่เด็กเล็กชั้นอนุบาล ไปจนถึงระดับปริญญาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสถาบันการศึกษา ถือเป็นความท้าทายและบทบาทความรับผิดชอบใหม่ของนักบริหารการศึกษาที่ต้องพร้อมรับมือกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะการสร้างระบบการศึกษาที่มั่นคงส่งผลถึงการผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพสู่ตลาดงานในการขับเคลื่อนเศรฐกิจของประเทศ
สถาบันการศึกษาจึงต้องมีมาตรการในการปรับรูปแบบการเรียนการสอนแบบ “ออนไลน์” ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้ผู้เรียนไม่เสียโอกาสในการเรียนรู้ ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่าการเรียนการสอนที่เปลี่ยนไปในช่วงโควิด สถาบันการศึกษาไม่สามารถยึดติดกับระบบ Offline หรือการเรียนการสอนในห้องเรียน 100% ได้อีกต่อไป ทั้งยังเป็นการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ผ่านรูปแบบการเรียนออนไลน์ในส่วนของ ผู้เรียนและผู้สอนด้วย
ในอีกด้านก็เกิดเป็นคำถามที่ว่า ภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือ Post Pandemic ทิศทางการศึกษาจะเป็นอย่างไร มีแง่มุมไหนบ้างที่เราได้รับบทเรียนจากผลกระทบในครั้งนี้ ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) และ ประธานกรรมการโรงเรียนนานาชาติเวลลิงตันคอลเลจ กรุงเทพฯ นักบริหารการศึกษา ที่ดูแลนักเรียน นักศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ถึงระดับปริญญา ได้สะท้อนถึงการบริหารการศึกษาในช่วง Post Pandemic ที่หากใครไม่เร่ง “ปรับตัว” อาจต้องเจอกับความท้าทายที่เกินกว่าจะรับมือได้
ความเร็ว&แรงของ Pandemic
“Pandemic ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในระลอกแรกเป็นอะไรที่วางแผนไม่ได้ ทุกคนหรือแม้แต่เราไม่มีประสบการณ์มาก่อน ดังนั้น Pandemic ที่เกิดขึ้นเป็นการมาแบบตูมเดียว ทำให้องค์กรต่าง ๆ ต้องปรับทุกอย่างมาเป็นออนไลน์ ซึ่งก็พบว่า หลายเซ็คเตอร์ สามารถปรับตัวได้ดีในยุคของการล็อคดาวน์”
ในมุมการจัดการเรียนการสอน เมื่อมองถึงระดับชั้นเรียนพบว่าแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงอายุ ด้วยประสบการณ์การบริหารการศึกษาในระดับเด็กเล็กที่ โรงเรียนนานาชาติเวลลิงตันคอลเลจ กรุงเทพฯ พบว่า การเรียนของเด็กเล็กระดับเตรียมอนุบาลถึง 7 ขวบจะเป็นช่วงอายุที่คิดว่ามีผลกระทบมากที่สุดจากการปรับการเรียนการสอนจากออฟไลน์เป็นออนไลน์ ส่วนหนึ่งมาจากความพร้อมของผู้เรียน การพึ่งพาตัวเองยังมีน้อยกว่าเด็กโต รวมทั้งพฤติกรรมของวัยนี้ที่การเรียนรู้ส่วนใหญ่จะเน้นผ่านการจับต้องสิ่งของและการสนทนากับผู้สอน
“ด้วยลักษณะการเรียนของเด็กวัยนี้จึงทำให้เชื่อว่าแม้ในช่วงของ Post Pandemic เด็กเล็กจะยังคงมีการเรียนการสอนที่เน้นการเรียนและปฏิบัติในชั้นเรียนมากกว่าการผ่านเทคโนโลยี”
O2O คือคำตอบ
การเรียนการสอนของวัยที่โตขึ้นมาในระดับมหาวิทยาลัย ปริญญาตรีและปริญญาโท ที่ผ่านมามีการปรับตัวได้ค่อนข้างดีในรูปแบบออนไลน์ โดยที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์มีการปรับผสมผสานการเรียนการสอนทั้งในแบบออฟไลน์และออนไลน์ หรือ O2O (Online to Offline)
เมื่อมองถึงช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือ Post Pandemic ระบบการศึกษาในไทยจะมีการปรับตัวอย่างเห็นได้ชัดเจนทั้งในส่วนของ มหาวิทยาลัย ผู้สอน และ ผู้เรียน
มหาวิทยาลัย ปรับระบบการทำงานในทุกมิติ ได้แก่ ระบบหลังบ้าน การลงทะเบียนนักศึกษา และอื่น ๆ ให้พร้อมทำงานทุกอย่างได้ครบในจุดเดียว ซึ่งในส่วนนี้ทางมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ได้ดำเนินการต่อเนื่องมาปีกว่าและพร้อมให้บริการได้เต็มรูปแบบในปีการศึกษา 2564
อาจารย์ผู้สอนที่ปรับแผนการสอนจาก 100% เป็นการเรียนในห้องไปสู่การเรียนออนไลน์โดยจัดสัดส่วนเนื้อหาที่เหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละสาขาวิชา ตัวอย่างเช่น บางสาขาวิชา 1ใน 3 ของเนื้อหาความรู้จะเป็นออนไลน์ แล้วปรับ 2 ใน 3 เป็นการเรียนออฟไลน์ ขณะที่บางสาขาวิชาอาจปรับเป็นออนไลน์ได้มากถึง 2 ใน 3
“ในส่วนของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ที่เน้นการสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ด้วยการเรียนในแบบ O2O เพื่อสนับสนุนให้เกิดความคล่องตัวในการเรียนการสอนออนไลน์และออฟไลน์ ขณะเดียวกันก็ต้องตอบโจทย์ผู้เรียนให้ได้มากที่สุด และสร้างเอนเกจเม้นท์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียนให้ได้ด้วย”
สำหรับผู้เรียนแล้วเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างมากจนถึง 5G ในปัจจุบันและจะมีเข้ามาเพิ่มอีกมากในอนาคต มีส่วนสนับสนุนให้การเรียนรู้ทำได้ดีมากขึ้น
Liquid Learning เทรนด์ที่ใช่ ในยุค Post Pandemic
การเรียนรู้แบบ Liquid Learning ที่ตอบโจทย์ Personalization ของผู้เรียนมีความสำคัญอย่างไรและเกิดขึ้นจริงได้แค่ไหน ดร.ดาริกา ให้มุมมองว่าเทรนด์การเรียนรู้นับจากนี้จะไม่ใช่แค่ปรับตัวจากออฟไลน์สู่ออนไลน์แต่จะได้เห็นการเรียนรู้แนวใหม่ที่มุ่งการตอบโจทย์ความเป็น Personalize ของผู้เรียนในแบบเฉพาะบุคคลมากขึ้น เช่น บางคนชอบอ่านตัวหนังสือเยอะ ๆ แต่กับบางคนชอบการนำเสนอที่เป็นภาพมากกว่า
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของพฤติกรรมและการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันของแต่ละคน ส่งผลต่อการเรียนรู้มากหรือน้อยได้ด้วย เช่น บางคนเป็นมนุษย์เที่ยงคืน มนุษย์เช้า ประสิทธิภาพและความสนใจที่จะเรียนรู้ก็แตกต่างกันออกไป
“กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่ปรับให้ลื่นไหลไปตามแต่ละบุคคล ทั้งความสนใจ ช่วงเวลา และอื่น ๆ นับเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก ซึ่งที่น่าสนใจและเป็นความท้าทายไม่แพ้กัน คือ การจัดคอนเท้นท์ หรือเนื้อหาวิชา การวัดผล และการให้ Certificate”
ความท้าทายในยุค Post Pandemic
โดยในช่วงของการระบาดโควิด-19 โจทย์ใหญ่ของแต่ละมหาวิทยาลัยจากนี้จะอยู่ที่ “การประเมินผล”
“ที่มองว่าการประเมินผลเป็นความท้าทายนั่นเป็นเพราะแม้ว่าจะมีการจัดการเรียนออนไลน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่การทำงานและระบบงานต่าง ๆ ยังคงเป็นออฟไลน์อยู่เหมือนเดิม ซึ่งหากเป็นแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้นหากในอนาคตมีการปรับเป็นออนไลน์ 100% ซึ่งเป็นโจทย์และภารกิจที่ต้องคิดว่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต”
จากความท้าทายที่เกิดขึ้นเมื่อโรคระบาดคลี่คลาย ดร.ดาริกา สะท้อนว่าไม่ใช่แค่ผู้สอนใน มหาวิทยาลัย และผู้เรียนเท่านั้นที่ต้องปรับตัวไปสู่รูปแบบการเรียนการสอนใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น ทางสำนักมาตรฐานก็ต้องทำความเข้าใจและปรับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้ในทุกมิติเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน
ในบทบาท นักบริหารการศึกษา ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ กล่าวว่า “การระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่ผ่านมา คนชอบบอกว่าในวงการศึกษาปรับตัวช้าที่สุด แต่ถึงตอนนี้พูดไม่ได้แล้ว เพราะทุกคนอยู่ในเรือลำเดียวกัน ต้องเร่งปรับตัว
จากที่หลาย ๆ คนพูดว่าทำไม่ได้ วันนี้จากสถานการณ์ที่บีบบังคับทำให้ค้นพบว่า มนุษย์เราปรับตัวได้ขนาดไหน กฎเกณฑ์ที่บอกว่าทำไม่ได้ วันหนึ่งก็ต้องฉีกทิ้ง แล้วจัดกฎเกณฑ์ใหม่
ได้เวลารื้อบ้านครั้งใหญ่ และ Pandemic ครั้งนี้นับเป็นบทดสอบที่สำคัญ!”
ที่มา: มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์